วันที่ 15 ส.ค.65 ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือกับ H.E. Dato’ Jojie Samuel เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ประเด็น การปลูก การใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
นายอนุทิน เผยว่า ในการหารือกับ H.E. Dato’ Jojie Samuel เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย เพื่อเตรียมการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียที่จะมาพูดคุยเรื่องการส่งเสริมการใช้กระท่อม กัญชา ทางการแพทย์สำหรับประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ทั้ง 2 ประเทศมีการศึกษาและแลกเปลี่ยนข้อมูลตั้งแต่มีการปลดล็อก โดยขณะนี้ทางมาเลเซียอยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมายในประเทศเพื่อปลดล็อคกัญชา ซึ่งหากมีการประกาศใช้กัญชาทางการแพทย์ ประเทศมาเลเซีย ถือเป็นประเทศที่ 2 ของกลุ่มภูมิภาคเอเชียที่มีการคลายล็อคกัญชาออกจากยาเสพติด
เมื่อถามว่าปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดมา 2 เดือน สธ.มีการเฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รายงานผู้ที่เข้าถึงกัญชาแล้วต้องมารับการรักษาพยาบาลใน รพ.รัฐลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าคนเริ่มเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และหันไปใช้ในทางที่ถูกมากขึ้น จากนี้แพทย์ก็กล้าที่จะสั่งใช้ยากัญชากับผู้ป่วยที่สมควรได้รับ ไม่ต้องหลบซ่อนเหมือนเมื่อก่อน ผู้ใช้ยากัญชาก็ไม่ต้องถูกตรวจค้นหรือดำเนินคดี ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือกก็ใช้กัญชามารักษาผู้ป่วยได้ตามหลักวิชาชีพ วิชาการ จึงมีจำนวนผู้เดือดร้อนจากการใช้กัญชาทางการแพทย์ลดลงมาก ส่วนผู้ที่สูบเสพกัญชาในทางที่ไม่ถูกต้อง สูบในพื้นที่สาธารณะ เย้ยกฎหมาย ท้าทายกฎหมาย มีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีถ้าก่อให้เกิดความรำคาญ
ส่วนกรณีที่พบคนไทย ถูกตรวจสารเสพติดในร่างกาย พบมีสารเสพติดของกัญชา ระหว่างที่เดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน ระบุว่า ยังไม่ได้มีการพูดถึง เพราะเป็นเรื่องปลีกย่อย โดยกัญชาที่มีการปลดล็อคกำหนดชัดเจนที่ให้ใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น
ด้าน นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยว่า การร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ช่อดอกกัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม จะกำหนดว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ แต่ไม่ได้นำกลับเข้าเป็นยาเสพติดอีก เพราะปลดล็อกแล้ว การควบคุมน่าจะได้ประมาณ 70- 80% เพื่อรอร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง มีผล
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 16 ส.ค.จะประชุมคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ที่มีปลัด สธ.เป็นประธาน หากเห็นชอบก็จะเสนอ รมว.สธ.ลงนามต่อไป ส่วนเรื่องอำนาจในการจับกุมต่างๆ ยังกำหนดให้เจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งต่างจังหวัดคือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เป็นผู้ได้รับมอบอำนาจ กทม.เป็นอธิบดี เป็นผู้ชี้เป้าหมายว่าแบบใดคือการกระทำผิด แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดำเนินการต่อ เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : siamrath.co.th