ผู้เชี่ยวชาญ”อภัยภูเบศร”แนะเข้าใจ-ใช้สมุนไพรให้ถูกวิธี ตอบข้อสงสัย”กัญชา”รักษามะเร็งได้จริงหรือ?
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ โคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่าย เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 ว่า เรื่องของสมุนไพรนั้นซับซ้อนกว่ายาแผนปัจจุบัน และภาครัฐของไทยนั้นก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด โดยสมุนไพรใช้น้อยๆ ก็เป็นอาหาร แต่หากเพิ่มปริมาณขึ้นมาหน่อยก็เป็นยา
ซึ่งบางครั้งเมื่อนำงานวิจัยแบบตะวันตกไปจับอีกทั้งต้องการคำตอบเพียง 2 ทางคือได้-ไม่ได้ แต่จริงๆ คำตอบมีมากกว่านั้น คือใช้ได้ในใคร หรือใช้ไม่ได้ในใคร จึงต้องมีการสื่อสารเพิ่มเติม เช่น เคยมีหน่วยงานของรัฐให้ข้อมูลกับประชาชนว่า มะระขี้นกไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยเบาหวานเพราะยังไม่มีข้อมูล ต่อมามีผู้ป่วยโทรศัพท์มาสอบถามยัง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพราะที่นี่มีศูนย์ข้อมูลสมุนไพร โดยมองว่าจำเป็นต้องทราบข้อมูลผู้ใช้สมุนไพรเพิ่มเติม เช่น ผู้ใช้มีอาการป่วยอย่างไร ได้ใช้ยาอื่นใดร่วมด้วยหรือไม่ เป็นต้น
ทั้งนี้ การใช้สมุนไพรยังต้องคำนึงถึงอายุของยา คุณภาพของยา ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิผล จึงเห็นว่า ความเท่าทันข้อมูลและการสื่อสารกลับว่าใช้ได้-ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่การที่หน่วยงานภาครัฐไปบอกว่าใช้ไม่ได้ กลับกลายเป็นยิ่งผลักประชาชนให้ไปอยู่กับการโฆษณาชวนเชื่อ เช่น มาโรงพยาบาล แพทย์บอกว่าห้ามกินห้ามใช้ ผู้ป่วยก็จะไม่บอกแพทย์ว่าใช้สมุนไพร แต่ก็ยังจะไปกินไปใช้ในสิ่งที่โฆษณากัน
ภญ.ผกากรอง กล่าวต่อไปว่า อย่างแรกต้องเชื่อในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งหมายถึงการรับประทานอาหาร การพักผ่อนและการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกาย เพราะข้อมูลทั่วโลกเหมือนกัน คือไม่ใช่การกินอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เรื่องพืชใบเขียวกับวิตามิน ชาวตะวันตกไม่ค่อยกินผักและผลไม้เนื่องจากมีราคาแพง จึงบริโภควิตามินแทน ซึ่งจากการศึกษาในระยะยาว พบการกินผักจริงๆ ดีกว่าในแง่ของการป้องกันโรค เพราะผักจริงๆ ถูกออกแบบมาให้มีสารอาหารที่เหมาะสมและสามารถดูดซึมได้ง่ายกว่าผลิตภัณฑ์แบบผงหรือเม็ด
ประการต่อมา การใช้สมุนไพรต้องไปศึกษาจากองค์ความรู้ดั้งเดิม เช่น การใช้กัญชา เท่าที่เคยลงพื้นที่ร่วมกับแพทย์พื้นบ้าน พบคนไทยไม่ได้บริโภคกัญชามากมายเหมือนพืชผักโดยทั่วไป อย่างมากก็ใส่ใบกัญชา 2-3 ใบลงในอาหาร เป็นเพียงเครื่องชูรส ต่อมาก็พบว่ากัญชาช่วยให้ตุ่มรับรสที่ลิ้นทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน การดูแลสุขภาพก็คือการกินให้หลากหลาย แต่วันไหนที่กินข้าวไม่ได้จึงค่อยนำใบกัญชามาใช้
แต่หากจะนำกัญชามาใช้รักษาโรค ใบกัญชาอาจเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ดูแลสุขภาพได้ เช่น กินข้าวไม่ได้หรือนอนไม่หลับ โดยใช้เป็นครั้งคราว แต่หากใช้ไปสักระยะแล้วเริ่มรู้สึกว่าเหตุใดตนเองต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพายา ซึ่งก็อาจเป็นเพราะมีโรคอะไรอยู่ในร่างกายหรือไม่ ก็ต้องไปให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย แต่หากเป็นดอกกัญชาจำเป็นต้องใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์
“ที่อยากจะเน้นย้ำคือเรื่องกัญชาจากมะเร็ง อยากให้พูดให้กว้างขึ้นว่ากัญชาไมได้รักษามะเร็ง ณ วันนี้ไม่มีข้อมูลว่ากัญชารักษามะเร็ง แต่มันมีการศึกษาเล็กๆ ในอังกฤษ กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งสมอง เขาพบในประมาณ 20 กว่าคน บางคนทำให้ระยะเวลาการมีอยู่ของชีวิตอาจจะยาวขึ้นมา แต่มันก็ยังไม่ชัดเจน เพราะจริงๆ เป้าหมายในการรักษามะเร็ง เราไม่ได้ต้องการแค่ให้อยู่แบบยาวอย่างเดียว แต่เราต้องการให้ก้อนมันหาย ให้ตัวโรคมันดีขึ้น แล้วก้ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” ภญ.ผกากรอง ระบุ
ภญ.ผกากรอง กล่าวอีกว่า เมื่อจะใช้ยามีสิ่งที่ต้องคำนึง 1.คาดหวังประโยชน์อะไรจากการใช้ 2.ใช้แล้วปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งต้องบอกว่ากรณีของกัญชานั้นปรับการให้ยายากมากเพราะแต่ละคนรับได้ไม่เท่ากัน และปัจจุบันก็ยังไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ ดังนั้นหากไม่ใช้กัญชาจะใช้ยาอื่นได้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาจึงเตือนผุ้ป่วยเสมอว่าหากใช้แล้วเสียชีวิตหรือพิการจะไม่มีโอกาสได้ใช้อีกเลย
3.จำเป็นต้องใช้หรือไม่ เช่น ปกติคนไทยพบแพทย์ได้ง่ายอยู่แล้ว นอกจากนี้สมุนไพรในประเทศไทยก็มีหลายชนิด ขณะเดียวกันต้องดูเรื่องโรคประจำตัวด้วย โดยกัญชานั้นไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นก่อนใช้สมุนไพรต้องศึกษาก่อนว่าสามารถใช้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ หากไม่มั่นใจก็ควรไปใช้สมุนไพรชนิดอื่น หรือปรึกษาบุคลากรที่มีความรู้จะดีกว่า
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : naewna.com